31 December 2014

วันสิ้นปี

ผมมีความรู้สึกว่า เดือนธันวาคม เป็นเดือนที่สั้นที่สุดบนปฏิทินความรู้สึก เพราะเมื่อไรที่ถึงช่วงเวลาใกล้สิ้นปีแบบนี้ เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหมือนเดือนนี้ จะไม่มีช่วงกลางเดือน ยังไงยังงั้น เริ่มเดือนมา ก็เจอช่วงสิ้นเดือนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว และน่าแปลกที่ว่า เรามักอยากจะวางแผน ทำอะไรบางอย่าง ให้สมกับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านปีเก่าไปสู่ปีใหม่แบบนี้ แต่ก็จะมักจะเคลิ้มไปกับรรยากาศ จนมารู้ตัวอีกที ก็พ้นช่วงปีใหม่ ต้องเริ่มต้นทำงานต่อไป ในตอนต้นเดือน มกราคม อีกแล้ว ทุกที

ช่วงเวลาใกล้ปีใหม่แบบนี้ เป็นช่วงเวลาที่ผมชอบมากๆ ไม่ใช่เพราะชอบการเฉลิมฉลอง แต่เพราะมันคือ ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ในการที่เราจะรีเซ็ท สิ่งที่เราไม่อยากทำ และเริ่มต้นอะไรบางอย่าง ที่เราอยากทำ ให้กับชีวิต อาจเรียกว่าเป็นความรู้สึก อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ด้วยความว่าเรายังเป็นปุถุชนที่ยังมีข้อเสียอยู่อีกมาก ถ้าเราไม่คิดเริ่มเปลี่ยนแปลง วันหนึ่ง เราคงต้องถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลง เหมือนอย่างที่เคยได้ยินฝรั่งบอกไว้ว่า Change before you're forced to change ตอนสมัยที่ต้องทำงานเกี่ยวกับเรื่อง Change Management อยู่

การเปลี่ยนแปลง จะสำเร็จหรือไม่ เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งเราคงไม่ควรไปเครียดกับมัน แต่ควรมองกลับมาที่ปัจจุบัน ถึงขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลง มากกว่า ว่าเราจะวางทางเดินอย่างไร ให้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่ได้ผลดีที่สุด ก็คือ การเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่เราติดเป็นนิสัย จากนิสัยหนึ่ง ไปสู่อีกนิสัยหนึ่ง ได้อย่างถาวร

ไหนๆ ก็เคยทำงานเกี่ยวกับเรื่อง Change Management มาก่อน แม้จะนานมาแล้ว ก็อยากจะขูดความทรงจำ เอาหลักคิดที่ฝรั่งใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในองค์กร ซึ่งผมคิดว่าน่าจะประยุกต์ใช้ กับการเปลี่ยนแปลงนิสัยระดับบุคคลได้เช่นกัน โดยมีขั้นตอนที่สำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงอยู่ 3 ช่วง คือ

1. Ending and Let go
2. Transition
3. Beginning


ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมเริ่มต้นด้วย Ending แต่จบด้วย Beginning เพราะ สิ่งที่ต้องการจบ (Ending) คือ พฤติกรรมเก่าๆ และที่ต้องการเริ่มต้น (Beginning) คือ พฤติกรรมใหม่ ที่เราต้องการนั่นเอง

Ending and Let go คือ การหยุดพฤติกรรมเก่า ช่วงนี้ จะเรียกว่า เป็นช่วงว้าวุ่นใจ ไม่อยากเริ่ม คนที่คิดจะเปลี่ยนแปลง มักจะตายตั้งแต่ช่วงนี้ คือ คิดเยอะเกินไป ไม่ยอมเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณบัณฑิต อึ้งรังษี ให้สูตรเด็ดไว้ว่า ให้เผาสะพานทิ้งไป (Burn the bridges behind) นั่นคือ ต้องตั้งปณิธานกับตัวเองว่า นิสัยเก่าๆ ฉันไม่เอาอีกแล้ว ไม่มีทางกลับไปหาพฤติกรรมเดิมๆอีกแล้ว ต้องให้ได้อารมณ์ประมาณนั้น ไม่งั้น มันจะไม่ยอมเดินหน้า มัวแต่คิดว่า ถ้าไม่สำเร็จจะกลับไป และสุดท้ายมันจะกลับไปหานิสัยเก่าๆ เดิมๆ ทุกที ถูกมั้ยครับ

Transition คือ ช่วงการกลายพันธุ์ จากการค่อยๆลด ละ เลิก นิสัยเดิม แล้วค่อยๆคุ้นชินกับนิสัยใหม่ ที่ตั้งใจไว้ ในระยะนี้ สิ่งที่ต้องการมากที่สุด คือ การสัมผัสได้ถึงความก้าวหน้า ดังนั้น ควรที่จะมีเป้าหมายที่ซอยย่อย ให้เล็กๆ เพื่อที่เราจะได้บรรลุเป้าหมายได้ต่อเนื่องตลอดทาง แน่นอนว่า คนเราถ้าเดินไปแล้ว ไม่ถึงเป้าหมายเสียที ก็คงหยุดเดินดีกว่า และเมื่อเราบรรลุเป้าหมายเล็กๆไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เข้าใกล้เป้าหมายใหญ่ โดยไม่รู้ตัว และแน่นอนว่า เราจะมีความสุขในขณะที่กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วย

Beginning คือ เมื่อเราเปลี่ยนแปลงตัวเอง จนถึงจุดที่เรียกได้ว่า เออ ฉันมีนิสัยใหม่แล้ว งานก็ยังไม่จบนะครับ เพราะคนเราต้องการการยืนยัน ในขณะที่กำลังคึกคัก เพื่อรักษาแรงเฉื่อย (Inertia) ให้มันสามารถรักษานิสัยใหม่นี้ ได้อย่างมั่นคง สิ่งที่ควรทำให้ช่วงเวลานี้ คือ การจุดพลุ เริ่มต้นเฉลิมฉลองกับตัวเอง เพื่อบอกกับตัวเองว่า ฉันได้มาถึงเส้นชัยแล้ว โดยอาจเป็นการกินมื้อพิเศษ ไปเที่ยวยังสถานที่ที่อยากไป ให้ของขวัญที่อยากได้ หรือทำอะไรให้กับตัวเอง เล็กๆน้อยๆ ก็ได้ จากนั้น ก็วางเป้าหมายต่อไป ให้เราได้เดินหน้าต่อ ขั้นตอนนี้ สำคัญมาก เพราะหลายคนลืมที่จะให้รางวัลตัวเอง เพื่อผูกนิสัยใหม่ กับภาพความสำเร็จให้ชัดเจน ซึ่งน่าจะเป็นผลทางจิตวิทยา

ผมคิดว่า หลักการง่ายๆ 3 ข้อนี้ น่าจะช่วยให้เราเข้าใจ จิตใจของเรา ในแต่ละช่วงของการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะรับมือกับช่วงเวลานั้นๆ ได้อย่างราบรื่น  เพื่อให้ปีใหม่ เป็นปีแห่งพฤติกรรมใหม่ ที่เราต้องการ ได้อย่างที่ตั้งใจไว้เสียที ... สำหรับผมเอง ปีใหม่นี้ ก็ถือว่าได้เริ่มต้นลงมือทำอะไรบางอย่างแล้ว เช่นกัน ตั้งแต่เช้า ที่ตื่นเช้ามาออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ปฏิบัติธรรม และสุดท้าย ก็คือ การลงมือเขียนบทความ ใน Blog ของตัวเอง ให้ได้อย่างต่อเนื่อง และตอนนี้ ก็ได้เริ่มแล้วครับ

เรามาช่วยเป็นกำลังใจ ให้กันและกันครับ สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
พรุ่งนี้ ก็ปีใหม่แล้ว .... สู้ๆ ครับ

27 August 2014

ทำยังไงให้มองมุมบวก

















ทุกเหตุการณ์ในชีวิต แม้เป็นเรื่องลบ ก็มีมุมบวกให้เราเลือกมองได้เสมอ
มี 3 วิธีที่ผมใช้แล้วได้ผล

วิธีแรก : ก็ดีแล้วไง
หาที่จอดรถไม่ได้ --> ก็ดีแล้วไง จะได้ถือโอกาสสำรวจที่จอดรถ
โดนคนเอาเปรียบ --> ก็ดีแล้วไง จะได้ฝึกความอดทน จิตจะเข้มแข็งขึ้น
ถูกโกง สูญเสีย --> ก็ดีแล้วไง จะได้รู้ว่ามีแบบนี้ คราวหลังก็รู้ทันละ

สังเกตว่า วิธีนี้ คือการมองไปข้างหน้า แล้วปล่อยเหตุการณ์นี้ ไว้ข้างหลัง

วิธีที่สอง : ตีมึน
บางครั้ง การทำตัวใสๆ คนโลกสวย
ที่ดูเหมือน ตอบสนองต่อารมณ์ที่มากระทบช้าไปหนึ่ง Step
ก็ทำให้ เราหลุดจากการคิดลบได้

หลายครั้งที่คนตั้งใจมาทำให้เราโกรธ ขุ่นมัว อิจฉา เสียความมั่นใจ
แค่เรา "ตีมึน" ซะหน่อย ก็ไม่มีอารมณ์ลบไหนๆ
ทำอันตรายต่อจิตเราได้เลย ... ไม่เชื่อลองดู

สำหรับวิธีนี้ ก็คือการสะท้อนกลับสิ่งกระทบ
ไม่ให้เข้ามาในจิต
เรียกว่า ตัดไฟแต่ต้นลม

วิธีสุดท้าย : รู้สึกถึงตอนเหตุการณ์จบแล้ว
เราคงเคยนั่งนึกถึงเหตุการณ์
ที่เราโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ที่เราเสียใจแทบโลกจะสลาย
แต่พอเหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้ว เรากลับมาคิดใหม่
"ความรู้สึก" กลับเปลี่ยนไป
หลายๆเหตุการณ์ กลายเป็นเรื่องตลก

ดังนั้น ถ้าเรารู้แบบนี้ ก่อนเหตุการณ์จะเกิด
เมื่อเหตุการณ์เกิด เราพร้อม "รู้สึก"ล่วงหน้า
ไปถึงวันที่เหตุการณ์นี้ผ่านไปแล้ว 
จะพบว่า ไม่ว่าเรื่องอะไร ....
มันก็แค่เรื่องเล็กนิดเดียว เมื่อผ่านไป
เราไม่เสียเวลา มานั่งคิดลบ
กับเรื่องที่เดี๋ยวก็จบไป ผ่านมาผ่านไป อย่างแน่นอน

เทคนิคนี้ คือ การทำให้เรื่อง (ที่เราคิด) ว่าใหญ่
ในขณะเราอยู่ในเหตุการณ์
กลายเป็นเรื่องเล็ก (จริงๆ) 
เมื่อเหตุการณ์ได้ผ่านไปแล้ว

ทั้ง 3 วิธีนี้
น่าจะทำให้เรารับมือกับเรื่องต่างๆ
ที่ผานมาให้ชีวิต ในมุมบวก ได้ง่ายขึ้น
และนั่นก็หมายความถึงว่า
เราจะมีความสุขได้ง่ายขึ้นด้วย
นั่นเอง

12 May 2014

ขอบคุณ สำหรับฤดูกาลที่สุดยอด

ขอบคุณ สำหรับฤดูกาลที่สุดยอด ปีที่เชียร์สนุกที่สุดในรอบ 10 กว่าปี ถ้าเทียบกับโอกาสตอนใกล้จบคงผิดหวัง แต่ถ้าเทียบกับเป้าตอนออกสตาร์ทถือว่าเกินคาดไปไกล .... ดูลิเวอร์พูลเล่นปีนี้ มีความสุขมาก ขอบอก .... ปีหน้า ขอให้อันดับสูงกว่านี้แค่ตำแหน่งเดียวพอ ใช่มั้ย The KOP ทั้งหลาย 5555 .... See you next season !! 



14 July 2012

เคลื่อนไหวช้าลง จึงจะได้ยินเสียงความสุข

ขชีวิตปกติของคนยุคปัจจุบัน ดูจะเคลื่อนไหวเร็วจนเป็นปกติ อย่างไม่รู้ตัว

ความสุขเหมือนอยู่รอบตัว เพียงแต่เรามองไม่เห็น เราไม่เคยได้ยินเสียงความสุขที่อยู่ใกล้ๆ


ชีวิตจึงเหมือนวิ่งหาความสุข โดยที่ไม่รู้ว่า นั่นคือการวิ่งหนีความสุขออกไปเรื่อยๆ

เมื่อไร ที่ได้หยุดนิ่งๆ เหมือนภาพความสุขรอบตัวจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ 




.... นกบินเกาะกิ่งไม้ ของสะสมที่มีคุณค่า ลูกๆนอนหลับตาพริ้ม ภาพเขียนที่แขวนผนังบ้าน

ภาพเดียวกัน ที่มองอย่างสงบ กลับรู้สึกมีความสุขอย่างง่ายดาย

.... เสียงฝนตกที่นอกหน้าต่าง นกร้องบินเกาะกิ่งไม้ ลมพัดใบไม้ไหว ฟังเพลงเก่าๆ

เสียงที่เคยได้ยิน แต่เมื่อฟังอย่างช้าๆ กลับไพเราะอย่างประหลาด

ผมคิดว่า ถ้าคนเรารู้จักซาบซึ้ง กับสิ่งต่างๆในชีวิต ความสุขก็ดูไม่ใช่เรื่องยากที่จะค้นหา

เพียงแต่เราจะซาบซึ้ง ก็ต่อเมื่อ เราทำชีวิตให้มันช้าลง .... ช้าจนทันความเร็วของความสุข นั่นเอง

27 December 2011

Golden Time ที่กำลังจะผ่านไป

ททุกๆ ปีใหม่ จะมีความรู้สึกว่า เดือนธันวาคม 
โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของเดือนเนี่ย ....
เวลามันผ่านไปเร็วมาก แบบตั้งตัวไม่ค่อยจะทัน
พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เป็นวันที่ 4 มกราคม แล้ว

รู้สึกเหมือน ..... ช่วงเวลาที่ว่า มันจะหายไปจากปฏิทิน 
แล้วก็จะมารู้สึกงงๆ และ เสียดาย เวลาที่หายไป ....
ซึ่งผมคิดว่า มันเป็น Golden Time ของชีวิตที่มีปีละครั้ง

สมัยทำงานกับพี่ขวัญ Wonder Woman ของเมืองไทย
แบบอย่างผู้ประสบความสำเร็จ ที่น้อยคนนักจะทำได้
พี่ขวัญเคยเล่าให้ฟังว่า ทุกๆปีใหม่ คุณพ่อไม่ยอมให้ลูกๆไปไหน
ทุกคนจะต้องมานั่งรวมกันอย่างพร้อมหน้า
เพื่อที่จะทบทวน สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี
ทบทวนตนเอง อะไรสำเร็จ อะไรดี อะไรไม่ดี ที่ผ่านมาในชีวิต
.... เพื่อที่จะตั้งเป้าหมาย สำหรับปีต่อไป

ทบทวนตนเอง .... นึกถึงเครื่องมือไปสู่ความสำเร็จที่พระพุทธองค์สอนไว้
อิทธิบาท 4 .... ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา .... 
เราอาจจะรักงาน - พากเพียร - ให้ใจเต็ม 100 กับงานที่ทำ
แต่มักลืมที่จะ ทบทวนตนเอง ประเมินสิ่งที่ได้ทำลงไป
ว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ... ก่อนที่จะก้าวต่อไป

"ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในชีวิต เป็นสิ่งที่ดีเสมอ"
ผมชอบประโยคนี้มาก แต่อยากต่อท้ายไปอีกว่า
 "..ถ้าเราได้หมั่นทบทวนตนเอง กับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น"

ปีใหม่นี้ ผมรู้สึกโชคดี กว่าทุกๆปี ที่ผ่านมา
เพราะ ณ ขณะที่เขียนนี้ผมยังเหลือ Golden Time อีก 5 วัน
ที่จะได้หาเวลานั่งเงียบๆ ทบทวนตนเอง กับสิ่งที่ผ่านมาในชีวิต ตลอดทั้งปี

ถ้านี่เป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จจริง
ก็อยากเชิญชวนทุกคน มาลอง ทบทวนตนเอง อย่างจริงจัง
ส่งท้ายปี 2554 นี้ ให้ผ่านพ้นไป .... อย่างมีคุณค่าที่สุด
แล้วเมื่อถึงวันที่ 4 มกราคม ของผม และของทุกคน
จะได้เงยหน้าขึ้นมาอย่างสดชื่นเต็มเปี่ยม 
หัวเราะ 5 5 5 พร้อมรับความสำเร็จที่รออยู่ตรงหน้า
..... ปี 2555 ของเราเอง

26 December 2011

ฟังสตีฟ จอบส์ พูด แล้วทำให้เกิดสติอย่างแท้จริง

SSteve Jobs' commencement speech to Stanford in 2005
I am honored to be with you today at your commencement from one of the finest universities in the world. I never graduated from college. Truth be told, this is the closest I've ever gotten to a college graduation. Today I want to tell you three stories from my life. That's it. No big deal. Just three stories.


The first story is about connecting the dots.
I dropped out of Reed College after the first 6 months, but then stayed around as a drop-in for another 18 months or so before I really quit. So why did I drop out?
It started before I was born. My biological mother was a young, unwed college graduate student, and she decided to put me up for adoption. She felt very strongly that I should be adopted by college graduates, so everything was all set for me to be adopted at birth by a lawyer and his wife. Except that when I popped out they decided at the last minute that they really wanted a girl. So my parents, who were on a waiting list, got a call in the middle of the night asking: "We have an unexpected baby boy; do you want him?" They said: "Of course." My biological mother later found out that my mother had never graduated from college and that my father had never graduated from high school. She refused to sign the final adoption papers. She only relented a few months later when my parents promised that I would someday go to college.
And 17 years later I did go to college. But I naively chose a college that was almost as expensive as Stanford, and all of my working-class parents' savings were being spent on my college tuition. After six months, I couldn't see the value in it. I had no idea what I wanted to do with my life and no idea how college was going to help me figure it out. And here I was spending all of the money my parents had saved their entire life. So I decided to drop out and trust that it would all work out OK. It was pretty scary at the time, but looking back it was one of the best decisions I ever made. The minute I dropped out I could stop taking the required classes that didn't interest me, and begin dropping in on the ones that looked interesting.
It wasn't all romantic. I didn't have a dorm room, so I slept on the floor in friends' rooms, I returned coke bottles for the 5¢ deposits to buy food with, and I would walk the 7 miles across town every Sunday night to get one good meal a week at the Hare Krishna temple. I loved it. And much of what I stumbled into by following my curiosity and intuition turned out to be priceless later on. Let me give you one example:
Reed College at that time offered perhaps the best calligraphy instruction in the country. Throughout the campus every poster, every label on every drawer, was beautifully hand calligraphed. Because I had dropped out and didn't have to take the normal classes, I decided to take a calligraphy class to learn how to do this. I learned about serif and san serif typefaces, about varying the amount of space between different letter combinations, about what makes great typography great. It was beautiful, historical, artistically subtle in a way that science can't capture, and I found it fascinating.
None of this had even a hope of any practical application in my life. But ten years later, when we were designing the first Macintosh computer, it all came back to me. And we designed it all into the Mac. It was the first computer with beautiful typography. If I had never dropped in on that single course in college, the Mac would have never had multiple typefaces or proportionally spaced fonts. And since Windows just copied the Mac, it's likely that no personal computer would have them. If I had never dropped out, I would have never dropped in on this calligraphy class, and personal computers might not have the wonderful typography that they do. Of course it was impossible to connect the dots looking forward when I was in college. But it was very, very clear looking backwards ten years later.
Again, you can't connect the dots looking forward; you can only connect them looking backwards. So you have to trust that the dots will somehow connect in your future. You have to trust in something — your gut, destiny, life, karma, whatever. This approach has never let me down, and it has made all the difference in my life.
My second story is about love and loss.
I was lucky — I found what I loved to do early in life. Woz and I started Apple in my parents garage when I was 20. We worked hard, and in 10 years Apple had grown from just the two of us in a garage into a $2 billion company with over 4000 employees. We had just released our finest creation — the Macintosh — a year earlier, and I had just turned 30. And then I got fired. How can you get fired from a company you started? Well, as Apple grew we hired someone who I thought was very talented to run the company with me, and for the first year or so things went well. But then our visions of the future began to diverge and eventually we had a falling out. When we did, our Board of Directors sided with him. So at 30 I was out. And very publicly out. What had been the focus of my entire adult life was gone, and it was devastating.
I really didn't know what to do for a few months. I felt that I had let the previous generation of entrepreneurs down - that I had dropped the baton as it was being passed to me. I met with David Packard and Bob Noyce and tried to apologize for screwing up so badly. I was a very public failure, and I even thought about running away from the valley. But something slowly began to dawn on me — I still loved what I did. The turn of events at Apple had not changed that one bit. I had been rejected, but I was still in love. And so I decided to start over.
I didn't see it then, but it turned out that getting fired from Apple was the best thing that could have ever happened to me. The heaviness of being successful was replaced by the lightness of being a beginner again, less sure about everything. It freed me to enter one of the most creative periods of my life.
During the next five years, I started a company named NeXT, another company named Pixar, and fell in love with an amazing woman who would become my wife. Pixar went on to create the worlds first computer animated feature film, Toy Story, and is now the most successful animation studio in the world. In a remarkable turn of events, Apple bought NeXT, I returned to Apple, and the technology we developed at NeXT is at the heart of Apple's current renaissance. And Laurene and I have a wonderful family together.
I'm pretty sure none of this would have happened if I hadn't been fired from Apple. It was awful tasting medicine, but I guess the patient needed it. Sometimes life hits you in the head with a brick. Don't lose faith. I'm convinced that the only thing that kept me going was that I loved what I did. You've got to find what you love. And that is as true for your work as it is for your lovers. Your work is going to fill a large part of your life, and the only way to be truly satisfied is to do what you believe is great work. And the only way to do great work is to love what you do. If you haven't found it yet, keep looking. Don't settle. As with all matters of the heart, you'll know when you find it. And, like any great relationship, it just gets better and better as the years roll on. So keep looking until you find it. Don't settle.
My third story is about death.
When I was 17, I read a quote that went something like: "If you live each day as if it was your last, someday you'll most certainly be right." It made an impression on me, and since then, for the past 33 years, I have looked in the mirror every morning and asked myself: "If today were the last day of my life, would I want to do what I am about to do today?" And whenever the answer has been "No" for too many days in a row, I know I need to change something.
Remembering that I'll be dead soon is the most important tool I've ever encountered to help me make the big choices in life. Because almost everything — all external expectations, all pride, all fear of embarrassment or failure - these things just fall away in the face of death, leaving only what is truly important. Remembering that you are going to die is the best way I know to avoid the trap of thinking you have something to lose. You are already naked. There is no reason not to follow your heart.
About a year ago I was diagnosed with cancer. I had a scan at 7:30 in the morning, and it clearly showed a tumor on my pancreas. I didn't even know what a pancreas was. The doctors told me this was almost certainly a type of cancer that is incurable, and that I should expect to live no longer than three to six months. My doctor advised me to go home and get my affairs in order, which is doctor's code for prepare to die. It means to try to tell your kids everything you thought you'd have the next 10 years to tell them in just a few months. It means to make sure everything is buttoned up so that it will be as easy as possible for your family. It means to say your goodbyes.
I lived with that diagnosis all day. Later that evening I had a biopsy, where they stuck an endoscope down my throat, through my stomach and into my intestines, put a needle into my pancreas and got a few cells from the tumor. I was sedated, but my wife, who was there, told me that when they viewed the cells under a microscope the doctors started crying because it turned out to be a very rare form of pancreatic cancer that is curable with surgery. I had the surgery and I'm fine now.
This was the closest I've been to facing death, and I hope it's the closest I get for a few more decades. Having lived through it, I can now say this to you with a bit more certainty than when death was a useful but purely intellectual concept:
No one wants to die. Even people who want to go to heaven don't want to die to get there. And yet death is the destination we all share. No one has ever escaped it. And that is as it should be, because Death is very likely the single best invention of Life. It is Life's change agent. It clears out the old to make way for the new. Right now the new is you, but someday not too long from now, you will gradually become the old and be cleared away. Sorry to be so dramatic, but it is quite true.
Your time is limited, so don't waste it living someone else's life. Don't be trapped by dogma — which is living with the results of other people's thinking. Don't let the noise of others' opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition. They somehow already know what you truly want to become. Everything else is secondary.
When I was young, there was an amazing publication called The Whole Earth Catalog, which was one of the bibles of my generation. It was created by a fellow named Stewart Brand not far from here in Menlo Park, and he brought it to life with his poetic touch. This was in the late 1960's, before personal computers and desktop publishing, so it was all made with typewriters, scissors, and polaroid cameras. It was sort of like Google in paperback form, 35 years before Google came along: it was idealistic, and overflowing with neat tools and great notions.
Stewart and his team put out several issues of The Whole Earth Catalog, and then when it had run its course, they put out a final issue. It was the mid-1970s, and I was your age. On the back cover of their final issue was a photograph of an early morning country road, the kind you might find yourself hitchhiking on if you were so adventurous. Beneath it were the words: "Stay Hungry. Stay Foolish." It was their farewell message as they signed off. Stay Hungry. Stay Foolish. And I have always wished that for myself. And now, as you graduate to begin anew, I wish that for you.
Stay Hungry. Stay Foolish.
Thank you all very much.